เมนู

อรรถกถาจุลลสาโรปมสูตร


จุลลสาโรปมสูตร เริ่มต้นว่า ข้าเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
พึงทราบวินิจฉัยในจุลลสาโรปมสูตรนั้นดังต่อไปนี้ บทว่า ปิงฺคล-
โกจฺโฉ
ได้แก่ พราหมณ์ผู้มีธาตุเหลือง ก็คำว่า โกจฺโฉ นี้ เป็นเชื่อของ
พราหมณ์นั้น เพราะฉะนั้น พราหมณ์นั้นท่านจึงเรียกว่า ปิงคลโกจฉะ. พึง
ทราบวินิจฉัยในคำว่า สํฆิโน เป็นต้น สมณะพราหมณ์ชื่อว่า สังฆฺโน
เพราะมีหมู่กล่าวคือประชุมแห่งนักบวช. ชื่อว่า คณิโน เพราะมีคณะนั้นแล.
ชื่อว่า คณาจริยา เพราะเป็นอาจารย์แห่งคณะด้วยอำนาจอาจารสิกขาบท.
บทว่า ญาตา ได้แก่ ผู้ที่รู้จักทั่วไป คือผู้ปรากฏ ได้แก่ ที่เขา
ย่องย่อง โดยนัยมีอาทิว่า เป็นผู้นักน้อย สันโดษ ไม่นุ่งห่มแม้กระทั่งผ้าเพราะ
เป็นผู้มักน้อย. ชื่อว่า ยสสฺสิโน เพราะเป็นผู้มียศ. บทว่า ติตฺถกรา
แปลว่า เจ้าลัทธิ. บทว่า สาธุสมฺมตา ได้แก่ ที่เขาสมมติอย่างนี้ว่า คน
เหล่านี้เป็นคนมีประโยชน์ เป็นคนดี เป็นสัตบุรุษ. บทว่า พหุชนสฺส ได้แก่
ผู้ไม่ได้สดับ ผู้เป็นปุถุชนคนอันธพาล.
บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงคนเหล่านั้น จึงตรัสว่า เสยฺยถีทํ ปูรโณ
ดังนี้ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปูรโณ เป็นชื่อของเจ้าลัทธินั้น
ผู้ปฏิญญาตนว่าเป็นศาสดา. คำว่า กสฺสโป เป็นโคตร. ได้ยินว่า เจ้าลัทธิ
ชื่อปุรณะนั้นเป็นคนครบร้อยพอดีของตระกูลหนึ่งซึ่งมีทาส 99 คน. ด้วยเหตุ
นั้น คนทั้งหลายจึงตั้งชื่อว่า ปูรโต. ก็เพราะเขาเป็นทาสมงคล จึงไม่มีผู้
กล่าวว่าเขาทำกิจที่ทำได้ยาก หรือไม่ทำกิจที่ใครเขาไม่ทำ. เขาคิดว่าเราจะอยู่
ในที่นี้ไปทำไมแล้วก็หนีไป. ลำดับนั้น พวกโจรได้ชิงเอาผ้าของเขาไป. เขาไม่
รู้จักการปกปิดด้วยใบไม้หรือหญ้า ก็เข้าไปยังตำบลหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่เปลือย

กายนั้นเอง. พวกมนุษย์เห็นเขาแล้วคิดว่า สมณะนี้เป็นพระอรหันต์ ผู้มักน้อย
ผู้ที่จะเสมอเหมือนกับสมณะนี้ไม่มี จึงถือเอาของหวานและของคาวเป็นต้นเข้า
ไปหา. เขาคิดว่า เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเราไม่นุ่งผ้า ตั้งแต่นั้นมาถึงได้ผ้าก็ไม่
นุ่ง เขาได้ถือเอาการไม่นุ่งผ้านั้นนั่นแหละเป็นบรรพชา. แม้ผู้คนอื่น ๆ รวม
500 คน ก็บวชในสำนักของเขา ท่านหมายเอาเจ้าลัทธิผู้นั้นจึงกล่าวว่า ปูรณ
กัสสปะ. คำว่า มกฺขลิ เป็นชื่อของเจ้าสัทธินั้น. คำว่า โคสาโล เป็นชื่อ
ที่ 2 เพราะเกิดในโรงโค. ได้ยินว่า เขาถือหม้อน้ำมันกำลังเดินไปบนพื้นดิน
ที่มีโคลน นายบอกว่า อย่าลื่นนะพ่อ. เขาลื่นล้มลงด้วยความเผลอเรอ เริ่ม
จะหนีไปเพราะกลัวนาย. นายวิ่งไปจับชายผ้าไว้ทัน เขาทิ้งผ้าไม่มีผ้าติดตัว
หนีไป. คำที่เหลือเหมือนกับเจ้าลัทธิปุรณะนั้นแล. คำว่า อชิตะ เป็น
ชื่อของเจ้าลัทธินั้น. เขาชื่อว่า เกสกัมพล เพราะครองผ้าผมคน.
เหตุนั้น เขาจึงรวมชื่อทั้งสองเรียกว่าอชิตะ เกสกัมพล. ในคำนั้น ผ้ากัมพล
ที่เขาทำด้วยผมมนุษย์ ชื่อว่า เกสกัมพล ขึ้นชื่อว่าผ้าที่เลวกว่าผ้าเกสกัมพล
นั้นไม่มี. เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า ผ้า
ที่ร้อยด้วยด้ายชนิดใดชนิดหนึ่ง ผ้ากัมพลท่านกล่าวว่า เลวกว่าผ้าเหล่านั้น
ภิกษุทั้งหลาย ผ้าเกสกัมพลเมื่อเย็นก็เย็น เมื่อร้อนก็ร้อน มีสีทราม มีกลิ่นเหม็น
และมีสัมผัสไม่สบาย. คำว่า ปกุโธ เป็นชื่อของเจ้าลัทธินั้น. คำว่า กจฺจายโน
เป็นโคตร. ท่านรวมทั้งนามและโคตร เรียกว่า ปกุธ กัจจายนะ. เจ้าลัทธิ
นั้นเป็นผู้ห้ามน้ำเย็น แม้จะถ่ายอุจจาระก็ไม่ใช้น้ำ. ได้น้ำร้อนหรือน้ำข้าวจึงใช้.
เขาเดินผ่านแม่น้ำ หรือน้ำในทางก็คิดว่า เราศีลขาดแล้ว ก่อทรายทำเป็นสถูป
อธิษฐานศีลเดินต่อไป ปกุธกัจจายนะผู้นี้เป็นเจ้าลัทธิที่ไม่มีศักดิ์ศรีเห็นปานนี้.
คำว่า สญฺชโย เป็นชื่อของเจ้าลัทธินั้น. ชื่อว่า เวลฎัฐบุตร เพราะเป็น
บุตรของเวลัฏฐ. เจ้าลัทธิชื่อว่า นิคันถะ โดยได้นามเพราะพูดอย่างนี้ว่า

พวกเราไม่มีกิเลสเครื่องร้อยรัด ไม่มีกิเลสเครื่องพัวพัน ว่าพวกเราเว้นจาก
เครื่องร้อยรัดคือกิเลส. ชื่อว่า นาฏบุตร เพราะเป็นบุตรของนาฏกะนักรำ.
บทว่า อพฺภญฺญึสุ ความว่า สมณพราหมณ์รู้ไม่รู้ก็โดยที่พวกเขาปฏิญญาไว้.
ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า ถ้าปฏิญญานั้นของพวกเขาเป็นนิยานิกะไซร้ เขา
ทั้งหมดก็รู้ ถ้าไม่เป็นนิยานิกะไซร้ พวกเขาก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความของ
ปัญหานั้นจึงมีดังนี้ว่าปฏิญญาของพวกเขาเป็นนิยานิกะ หรือเป็นอนิยานิกะ.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธว่า พอละเพราะไม่มี
ประโยชน์ด้วยการกล่าวถึงปฏิญญา ที่เป็น อนิยานิกะของเจ้าลัทธิเหล่านั้น
เมื่อจะประกาศบทที่มีประโยชน์ด้วยอุปมา เพื่อจะทรงแสดงเฉพาะธรรม จึงตรัส
คำว่า พราหมณ์ เราจะเแสดงธรรมแก่ท่าน ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สจฺฉิกิริยาย แปลว่า เพื่อกระทำให้แจ้ง. บทว่า น ฉนฺทํ ชเนติ
ความว่า ไม่ให้เกิดความพอใจใคร่จะทำ. บทว่า น วายมติ ได้แก่ ไม่
การทำความพยายาม ความบากบั่น. บทว่า โอลีนวุตฺติโก จ โหติ ได้แก่
เป็นผู้มีอัธยาศัยเหยาะแหยะ. บทว่า สาถิลิโก ได้แก่ ผู้ถือย่อหย่อน คือถือ
ศาสนาย่อหย่อน ไม่ถือให้หนักแน่น. บทว่า อิธ พฺรหมฺณ ภิกฺขุ วิวิจฺเจว
กาเมหิ
ถามว่า ธรรมมีปฐมฌานเป็นต้นเหล่านี้ จะยิ่งกว่าญาณทัสสนะได้
อย่างไร. แก้ว่า จริงอยู่ ธรรมทั้งหลายมีปฐมฌานเป็นต้น เป็นบาทของ
วิปัสสนา ชื่อว่าต่ำกว่า เพราะทำให้เป็นบาทแห่งนิโรธ ธรรมเหล่านี้จึงชื่อว่า
เป็นบาทแห่งนิโรธ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ญาณทัสสนะนั้น ยิ่งยวดกว่า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบพระสูตรแม้นี้ ตามอนุสนธิด้วยประการฉะนี้. ใน
เวลาจบเทศนาพราหมณ์ก็ตั้งในสรณะแล.
จบอรรถกถา จุลลสาโรปมสูตร ที่ 10
จบวัคควัณณนาที่ 3

รวมพระสูตรในโอปัมมวรรค


1. กกจูปมสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
2. อลคัททูปมสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
3. วัมมิกสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
4. รถวินีตสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
5. นิวาปสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
6. ปาสราสิสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
7. จูฬหัตถิปโทปมสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
8. มหาหัตถิปโทปมสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
9. มหาสาโรปมสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา
10. จูฬสาโรปมสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา